ในบริบท ของ สมเกียรติ อ่อนวิมล IN CONTEXT of Somkiat Onwimon WK10/2024 [5] Soft Power - 4: Chapter One - Sources of Soft Power Soft Power - 4: บทที่หนึ่ง - แหล่งที่มาของทรัพยากร Soft Power
จากหนังสือ “Soft Power: The Means to Success in World Politics” (“อำนาจนุ่มนวล: หนทางสู่ความสำเร็จในการเมืองโลก”) โดย Prof. Joseph S. Nye, Jr. อันเป็นต้นกำเนิดของความคิดเรื่อง Soft Power นั้น
หลังจากอรรถาธิบายเรื่องความหมายของ Soft Power โดยพิศดารแล้ว คราวนี้ก็มาถึงเรื่องแหล่งที่มาของทรัพยากรที่เป็นขุมพลังของ Soft Power หรือ “Sources of Soft Power” ในหน้า 11-15 ของบทที่ 1 ศาสตราจารย์ Joseph Nye Jr. เริ่มอธิบายว่า ไม่ว่าจะเป็นประเทศใด หากจะค้นหาแหล่งทรัพยากรที่มาหรือขุมพลังของ Soft Power มี 3 แหล่งทรัพยากรหลัก คือ:
“1. วัฒนธรรม (ที่เป็นพลังดึงดูดให้รักและชื่นชอบ หรือมี attraction ต่อผู้อื่น) 2. ค่านิยมทางการเมือง (ซึ่งพิสูจน์แล้วว่ามีคุณภาพยั่งยืนทั้งในประเทศของตน และเป็นที่ชื่นชมปฎิบัติตามในต่างประเทศด้วย) และ 3. นโยบายต่างประเทศ (ที่ได้รับการยอมรับว่าจริงแท้ ชอบด้วยเหตุผล ถูกต้องดีงาม และมีพลานุภาพเชิงศีลธรรม - ‘legitimate and having moral authority’)
1. “เริ่มเรื่องแรกคือ วัฒนธรรม (Culture) ซึ่งเป็นชุดหรือกลุ่มค่านิยมและประเพณีปฏิบัติต่างๆที่สร้างความหมายให้กับสังคม วัฒนธรรมนั้นปรากฏตัวในหลากหลายรูปแบบ ถือเป็นวิธีปรกติที่จะอธิบายโดยเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างวัฒนธรรมระดับสูง (high culture) เช่น งานวรรณกรรม, ศิลปะ, และการศึกษา ซึ่งล้วนเป็นสิ่งชวนชื่นชมและยึดถือปฏิบัติตามในหมู่พลเมืองผู้มีวิถีการดำเนินชีวิตระดับบนของกลุ่มชั้นทางสังคม (อาจเรียกว่าเป็น ‘ผู้มีวัฒนธรรม’ ก็ได้ - ส.อ.), เปรียบเทียบกับวัฒนธรรมสมัยนิยม (popular culture) ซึ่งเน้นที่ความนิยมชมชอบวัฒนธรรมบันเทิง (mass entertainment) ในบรรดามวลมหาชนร่วมยุคสมัย” เมื่อวัฒนธรรมของประเทศมีความนิยมเป็นสากล เกิดค่าความเป็นสากล หรือความนิยมระหว่างประเทศ ได้ผนวกกับนโยบายของประเทศนั้นๆที่ส่งเสริมและเพิ่มพูนคุณค่าและความสนใจแบ่งปันไปสู่ประชาชาติอื่นๆ ก็จะทำให้ประเทศนั้นได้สิ่งที่ปรารถนา คือผลลัพธ์เชิงนโยบายต่างประเทศ ทั้งนี้ก็ด้วยความเชื่อมโยงสัมพันธ์กันระหว่างพลังดึงดูดให้รักให้ชอบกับภาระหน้าที่ทำให้เกิดวัฒนธรรมนั้นๆ ถ้าเป็นค่านิยมหรือรูปแบบแคบๆทางวัฒนธรรม เป็นวัฒนธรรมท้องถิ่นปลีกย่อยตามพื้นที่ก็มักจะไม่มีผลทาง Soft Power สหรัฐอเมริกานั้นได้รับประโยชน์มาก ด้วยว่าวัฒนธรรมอเมริกันมีความเป็นสากล กระจายกว้างคลุมพื้นที่โลก บรรณาธิการชาวเยอรมัน ชื่อ Josef Joffe เคยพูดครั้งหนึ่งว่า Soft Power ของอเมริกานั้นมีมากกว่าอำนาจการทหารและอำนาจเศรษฐกิจรวมกันด้วยซ้ำไป และเสริมว่า “วัฒนธรรมอเมริกัน ไม่ว่าจะเป็นวัฒนธรรมระดับสูงหรือระดับล่าง ทั้งสองระดับวัฒนธรรมแผ่ขยายกระจายออกไปนอกอาณาจักรในขนาดที่ยิ่งใหญ่ไพศาลกว้างไกลอย่างที่เคยเห็นครั้งสุดท้ายก่อนหน้านี้ก็สมัยวัฒนธรรมแห่งอาณาจักรโรมันรุ่งเรือง - แต่วัฒนธรรมอเมริกันนั้นแผ่ไพศาลด้วยวิถีที่หักมุมเป็นพิเศษ กล่าวคือ ถ้าดูการแผ่ไพศาลของวัฒนธรรมแห่งอาณาจักโรม และ รัสเซีย ก็จะพบว่าจะจบลงตรงเส้นพรมแดนอันเป็นพื้นที่ครอบครองของอำนาจทางทหาร (หรืออำนาจแข็ง-ส.อ.) ทันที ทว่า Soft Power ของชาวอเมริกันและสหรัฐอเมริกานั้นมิได้หยุดลง ณ เส้นกั้นพรมแดนใดๆ แต่มันกระจายไปทั่วพื้นที่บนโลกแบบไร้พรมแดน ไม่มีวันที่จะเห็นพระอาทิตย์แห่งวัฒนธรรมอเมริกันตกดินเลย” (อ้างจาก note 17. Josef Joffe, “Who’s Afraid of Mr. Big?” The National Interest, Summer 2001, p. 43)
“นักวิเคราะห์บางคนคิดถึง Soft Power แบบง่ายๆว่าเป็นพลังอำนาจของวัฒนธรรมร่วมสมัยนิยม ก็ถือเป็นความเข้าใจผิดที่ไปคิดแบบนั้น เพียงคิดแค่ว่าพฤติกรรมเชิง Soft Power เท่ากับทรัพยากรทางวัฒนธรรมที่บางทีก็ก่อให้เกิด Soft Power ได้บ้างในบางกรณีเท่านั้น เพราะที่จริงแล้ววัฒนธรรมไม่เท่ากับ Soft Power เสมอไป
เพราะวัฒนธรรมเป็นเพียงทรัพยากรอันเป็นแหล่งที่มาที่อาจจะช่วยให้กำเนิดอำนาจนุ่มนวลหรือ Soft Power ได้ แต่ก็ไม่เสมอไป แหล่งที่มาของอำนาจ ไม่ใช่อำนาจโดยตรง มีคนที่คิด วิเคราะห์ และเข้าใจผิดในเรื่องนี้ก็เพราะความสับสนแยกไม่ออกระหว่าง
“ทรัพยากรทางวัฒนธรรม” (cultural resources) กับ “พฤติกรรมอันดึงดูดความรักความชอบ” (behavior of attraction)
“มาถึงเรื่องสินค้าอาหารดังก้องโลกจากอเมริกา ศาสตราจารย์ Joseph Nye พูดถึง น้ำอัดลม Coke และ Big Macs แฮมเบอร์เกอร์ ว่ามันมิได้จำเป็นว่าจะมีอำนาจดึงดูดใจอะไรในที่จะดึงดูดโลกอิสลามให้รักสหรัฐอเมริกา เผด็จการ Kim Jong Il แห่งเกาหลีเหนือมีข่าวว่าชอบกิน pizza และชอบดูวิดีโอภาพยนตร์อเมริกัน แต่นั่นก็มิได้มีผลกระทบต่อโครงการอาวุธนิวเคลียร์ของเกาหลีเหนือใดๆเลย
“แต่นี่ก็มิใช่จะปฏิเสธว่าวัฒนธรรมแห่งยุคสมัยมิใช่แหล่งสร้าง Soft Power ที่สำคัญ ที่จริงก็มีบ่อยครั้งที่เห็นว่า Soft Power ได้แรงหนุนมาจากวัฒนธรรม แต่ก็อย่างที่เราได้อธิบายมาก่อนหน้านี้แล้วว่าประสิทธิผลของแหล่งทรัพยากรใดๆอันเป็นที่มาแห่งพลังอำนาจ Soft Power นั้น :
“มันขึ้นอยู่กับบริบท” “It depends on the context.”
3. "เรื่องนโยบายของรัฐ ทั้งนโยบายในประเทศและต่างประเทศ (Government / Foreign Policy) เรื่องนี้คือศักยภาพสำคัญอีกแหล่งหนึ่งของ Soft Power ยกตัวอย่างสหรัฐอเมริกาใชช่วงปี 1950s นโยบายกีดกันแบ่งแยกคนผิวดำออกจากคนผิวขาวในโรงเรียน, ชั้นเรียน, สถานที่สาธารณะ, ร้านอาหาร, ที่นั่งบนรถโดยสาร, ห้องน้ำสาธารณะ, ฯลฯ เรื่องเหล่านี้ทำลายศักยภาพแห่งอำนาจนุ่มนวลของสหรัฐอเมริกาในทวีปแอฟริกามาก Soft Power ของสหรัฐฯในยุโรปก็ตกต่ำลงมากเพราะกฎหมายโทษประหารชีวิต และการควบคุมอาวุธปืนที่หย่อนยาน นั่นเป็นตัวอย่างเรื่องนโยบายภายในประเทศ ด้านนโยบายต่างประเทศก็ทำนองเดียวกัน สมัยประธานาธิบดี Jimmy Carter มีเรื่องผลักดันนโยบายสิทธิมนุษยชน สมัยประธานาธิบดี Reagan และ Clinton กับการผลักดันนโยบายส่งเสริมประชาธิปไตยในต่างประเทศ ก็พบว่ารัฐบาลทหาร Argentina ปฏิเสธการผลักดันเรื่องสิทธิมนุษยชนจากสหรัฐฯ แต่ก็ส่งผลเชิงบวกเพิ่ม Soft Power ให้กับสหรัฐอเมริกา 20 ปีต่อมาเมื่อรัฐบาลนิยม Peronists ที่เคยถูกจำคุกสมัยเผด็จการกลับมาครองอำนาจ ผลจาก Soft Power อาจเกิดระยะสั้น หรือระยะยาว แล้วแต่บริบทที่จะผันแปรไปตามช่วงเวลาและสถานการณ์ สหรัฐฯสมัยประธานาธิบดี Jimmy Carter ช่วงปี 1970s ได้รับความชื่นชมยกย่องมากจาก Argentina ช่วงต้นปี 1990s ถือเป็นการรอเวลาถึงสองทศวรรษกว่า Soft Power จะสำแดงผลบวก ยังผลให้รัฐบาล Argentina สนับสนุนบทบาทของสหรัฐฯในสหประชาชาติและนโยบายในคาบสมุทร Balkans"
อย่างไรก็ตาม กาลเวลาผ่านไป บริบทก็เปลี่ยนไป Soft Power ของสหรัฐฯต่อ Argentina ตกต่ำลดพลังลงมากในทศวรรษถัดมาโดยเหตุที่สหรัฐฯมิได้ช่วยปกป้องและป้องกันมิให้เศรษฐกิจของ Argentina ล่มสลาย
" นโยบายของรัฐบาลมีทั้งที่เสริมความแข็งแกร่ง และที่ทำลาย Soft Power นโยบายที่สุดกู่ในเรื่องตำหนิวิพากษ์ชาติอื่น, นโยบายทำตัวเก่งกร่างไม่แยแสความเห็นประเทศอื่น, มุมมองแคบจำกัดเพียงเรื่องผลประโยชน์ส่วนชาติตนเองเท่านั้น, ทั้งหลายเหล่านี้คือปัจจัยทำลาย Soft Power ทั้งสิ้น หลังสงครามใน Iraq จบลงในปี 2003 มีการสำรวจความคิดเห็นประชาชน พบว่าประชาชนในต่างประเทศส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วยกับนโยบายของประธานาธิบดี George W. Bush แต่แยกออกจากทัศนะต่อประชาชนอเมริกันโดยรวม แสดงให้เห็นว่า Soft Power ของประชาชนอเมริกันยังคงเป็นที่พอใจอยู่ แต่อำนาจนุ่มนวลของรัฐบาลตกต่ำลงมาก ประชาชนในต่างประเทศแม้จะไม่ชอบรัฐบาล แต่ก็ยังคงชอบเทคโนโลยี, วัฒนธรรม ภาพยนตร์, ดนตรี รายการโทรทัศน์ จากวัฒนธรรมอเมริกันอยู่ต่อไป แต่ก็ยังมีความเห็นส่วนใหญ่ไม่พอใจที่ว่าอิทธิพลอเมริกันกำลังมีเพิ่มมากขึ้นในประเทศของตน"
"สงครามใน Iraq ปี 2003 ไม่ใช่ครั้งแรกที่ทำลาย Soft Power ของสหรัฐฯ สงครามเวียดนาม ทำลาย Soft Power ของสหรัฐไปแบบแทบจะสิ้นสลายล่มจม โลกคัดค้านสงครามเวียดนามที่สหรัฐฯเข้าไปมีส่วนร่วมโดยตรงยาวนานสร้างความเสียหายสุดประเมาณ แถมเป็นฝ่ายแพ้สงครามให้กับเวียดนามเหนือที่มีอำนาจแข็ง คืออาวุธและการทหารน้อยกว่าสหรัฐฯมากอีกด้วย ศาสตราจารย์ Joseph Nye ให้ข้อสังเกตุว่า บริบทแห่งกาลเวลาทำให้อำนาจนุ่มนวลเปลี่ยนไปได้ เวียดนามปัจจุบันผ่านกาลเวลาจากสงครามมาสู่สันติภาพ ทัศนะของเวียดนามต่อสหรัฐฯ ก็กลับมาดีขึ้น ส่วนสงครามใน Iraq นั้นยังต้องรอดูว่า Soft Power ของสหรัฐฯจะฟื้นตัวเมื่อไร อีกทั้งองค์ประกอบของสงครามและความขัดแย้งที่อื่น เช่นทีี่ Israel กับ Palestine ก็จะเป็นตัวแปรสะท้อน Soft Power ของสหรัฐฯด้วยว่าจะยังมีอยู่หรือไม่ หรือมีแล้วจะใช้หรือไม่ใช้อย่างไร"
"สิ่งหนึ่งที่รัฐบาลสหรัฐฯหรือรัฐบาลประเทศอื่นใดก็ตามที่อยู่ในบริบทแห่ง Soft Power ต้องคำนึงเป็นสำคัญก็คือ Soft Power นั้นมิได้เป็นของรัฐบาลในระดับความเข้มข้นแน่นหนักเท่ากับที่รัฐบาลเป็นเจ้าของผู้ครอบครอง Hard Power หรืออำนาจแข็งทางการทหารและเศรษฐกิจ นั่นเป็นอำนาจในควบคุมของรัฐบาลชัดเจน อย่างอื่นเป็นอำนาจของชาติโดยรวม จะจัดการตามใจชอบของรัฐบาลไม่ได้ เช่นทรัพยากรธรรมชาติ น้ำมันดิบ แร่ธาตุในดิน หลายอย่างอยู่ภายใต้การควบคุมร่วมกันเป็นกลุ่มเป็นคณะ การบินพาณิชย์เป็นของภาคธุรกิจเอกชน หากจำเป็นรัฐบาลก็ต้องสั่งการในภาวะฉุกเฉินให้สายการบินทั้งหลายรวมกันเป็นพลังอำนาจกลุ่มใหม่รับใช้ชาติก็ได้ ไม่ว่าจะโดยวิถีนุ่มนวล หรือแข็งกร้าวก็แล้วแต่ ในทางตรงกันข้าม แหล่งทรัพยากร Soft Power หลายอย่างอยู่เหนือการแทรกแซงของอำนาจรัฐบาล อาจจะร่วมมือกับรัฐบาลบ้าง หรือไม่ร่วมก็ได้ ยกตัวอย่างวัฒนธรรมร่วมสมัยนิยม หรือ popular culture เช่นภาพยนตร์ ดนตรี ความบันเทิงต่างๆจาก Hollywood ที่วาบหวิวละเมิดศีลธรรมจริยธรรมของขาวมุสลิม ก็เป็นปัญหาทำลาย Soft Power ที่รัฐจะเข้าไปควบคุมไม่ได้ กลุ่มนับคือศาสนาคริสต์แบบอนุรักษ์จัดก็สร้างปัญหาขัดแย้งรุนแรงกับกลุ่มที่นับถืออิสลามในประเทศสหรัฐอเมริกาเอง แล้วบานปลายขยายต่อไปถึงต่างประเทศด้วย ยังผลให้ Soft Power ของสหรัฐฯเสียหาย สลาย หรือลดค่าลงไปได้ ในเมื่อสหรัฐอเมริกาเป็นสังคมประชาธิปไตยเสรี การนับถือศาสนา นิกายของศาสนา และทัศนะต่อศาสนาอื่นในสังคมอเมริกัน ย่อมทำได้เสรี เรื่องนี้เป็นเรื่องของวัฒนธรรมภาคประชาชนที่สามารถด้อยค่าหรือทำลาย Soft Power ของรัฐบาลได้"
ทั้งหมดคือหัวใจของฐานทรัพยากร อันเป็นขุมพลังที่ก่อให้เกิดหรือทำลาย Soft Power ได้